Monday, June 15, 2009

สุนทรพจน์วันจบการศึกษาของ Oprah Winfey สำหรับบัณฑิต Stanford

ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหรือเปล่า
คือชอบอ่านสุนทรพจน์ดีๆที่มักจะพบได้จากพิธีจบการศึกษา
ของมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงหลังนี้มีผู้รวบรวมสุนทรพจน์เหล่านี้
แปล และจัดพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่ม

อ่านแล้วรู้สึกได้แรงบันดาลใจ
สมกับที่เป็นคำพูดเพื่อให้แง่คิดก่อนจบการศึกษา
และปลุกเร้าให้บัณฑิตใหม่เตรียมพร้อมเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต
และความเป็นจริงที่จะต้องเผชิญเมื่อออกไปสู่การทำงาน

สุนทรพจน์ชิ้นล่าสุดที่ได้อ่านจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ
เป็นของคุณ Oprah Winfrey พิธีกร เจ้าของรายการทอล์คโชว์
เจ้าของนิตยาสาร Harpo (ซึ่งมาจากชื่อของเธอเขียนจากหลังมาหน้า)
และโปรเจค อื่นๆ อีกมากมาย

เธอมากล่าวสุนทรพจน์ให้กับบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย Stanford
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา
เนื้อหาของสิ่งที่เธอพูดเป็นข้อคิดเกี่ยวกับสิ่งสำคัญในชีวิตที่ทุกๆ คนต้องเจอ 3 อย่าง
Feelings, Failure and finding Happiness

Oprah เล่าให้ฟังว่าเธอเองในตอนแรกไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย
Tennessee State University เพราะมีหน่วยกิตขาดไป 1 หน่วย
แต่มาเรียนจบเอาเมื่อหลายปีหลังจากนั้น เมื่อเธอได้รับเชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์จบการศึกษา
และเธอรู้สึกว่าการที่พ่อของเธอพร่ำบอกมาตลอดว่าเธอจะไม่สามารถหางานได้
หรือได้งานใหม่ดีๆ เพราะเธอเรียนไม่จบ มันจะหลอกหลอนเธอไปเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่เธอเริ่มทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวมาตั้งแต่อายุ 19
และทำงานมาตลอดก็ตาม
วันที่เธอจบการศึกษาเป็นวันที่เธอทำให้พ่อของเธอภาคภูมิใจมาก
และทำให้เธอปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจให้ออกไปได้ในที่สุด
Oprah บอกว่า โลกคือจักรวาลแห่งการเรียนรู้ เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่
และสาเหตุที่พ่อของเธอยืนยันอยากให้เธอเรียนจบจนรับปริญญาให้ได้
ก็เพราะการศึกษาเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถพรากไปจากเราได้
และการศึกษาก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
การจบจากมหาวิทยาลัยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเท่านั้น

Feeling-ใช้ความรู้สึกพิจารณาสิ่งที่กำลังทำ
เมื่อเราต้องตัดสินใจว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร ให้ใช้ความรู้สึกของเราเป็นเครื่องวัด
Oprah เรียกว่ามันคือ GPS ของชีวิต
เราต้องเรียนรู้ที่จะตรวจสอบ gut ไม่ใช่ ego
ให้ฟังเสียงจากหัวใจว่ารู้สึกอย่างไร ถ้ารู้สึกลังเล หรือไม่แน่ใจก็อย่าทำ
"If it doesn't feel right, don't do it. Even doubt means don't"
และเราควรลงแรงกับสิ่งที่เรารัก ที่เราหลงใหล เพราะมันจะนำไปสู่ความสำเร็จ
เธอบอกว่าไม่ใช่เพราะเงินไม่สำคัญ แต่เงินไม่ใช่ความหมายของชีวิต
การมีเงินเยอะๆ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเต็มอิ่ม และมีความหมาย
ควรแสวงหางานที่ชอบ แวดล้อมด้วยคนที่รักและชื่นชม มากกว่าจะต้องมีเงินเยอะๆ เสมอไป

Failing- ถืออุปสรรคเป็นบทเรียน
ทุกๆ คนต้องเจอปัญหาในชีวิต ไม่มีใครจะมีชีวิตที่ราบเรียบไปตลอด
แต่หากเกิดปัญหาขึ้นเราไม่ควรมันแต่โทษ หรือบ่นกับมันเราควรหันหน้าเข้าหาปัญหา
แล้วเราจะพบทางออกท่ามกลางปัญหานั้นเพราะการรับปัญหาไม่ได้หมายถึงยอมแพ้
แต่หมายถึงเรามีความรับผิดชอบต่างหาก

Finding Happiness- ต้องให้เพื่อได้รับความสุข
เราควรทำงาน และใช้ชีวิตเพื่อปัจจุบันและให้ความสำคัญ
กับการลงแรงเพื่อสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าจะมีชีวิตเพื่อตัวเองเท่านั้น
"Life is reciprocal exchange.
To move forward you have to give back"
เพราะชีวิตเป็นการแลกเปลี่ยน การที่เราจะมีความสุขได้เราต้องทำเพื่อคนอื่น
หากเรากำลังรู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกสูญเสีย รู้สึกไม่มีความสุขให้เราช่วยเหลือคนอื่นๆ
ที่เป็นทุกข์เหมือนกัน สูญเสียเหมือนกัน และไม่มีความสุขเหมือนกัน
ทำชีวิตให้เปี่ยมด้วยความหมาย แล้วเราก็จะมีความสุข
ในที่นี่ Oprah ยกตัวอย่างของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย Stanford
Jane และ Leland Stanford เสียลูกชายไปด้วยโรคไทฟอยด์
เมื่อเขาอายุได้ 15 ปี
พวกเขาเปลี่ยนความเศร้าโศก และการสูญเสียลูกชายที่รัก
ไปเป็นการให้โอกาสทางการศึกษาแก่ลูกๆ ของคนอื่นๆ
ซึ่ง Jane และ Leland ไม่สามารถให้กับลูกชายของเขาได้
ไม่ว่าเราจะประกอบอาชีพอะไร เราก็สามารถทำชีวิตของเราให้เปี่ยมไปด้วยความสุข
และความหมายได้
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ http://news.stanford.edu/news/2008/june18/como-061808.html?view=print

ประเทศไทยควรมีพลเมืองเท่าไรจึงจะดี

เพิ่งอ่านจบไปอย่างรวดเร็วหนังสือเล่มใหม่
เกี่ยวกับความรู้ด้านประชากรศาสตร์
เรื่อง ประเทศไทยควรมีประชากรเท่าไรจึงจะดี
โดย ศ.ดร. ปราโมทย์ ประสาทกุล
ศาสตราจารย์สาขาประชากรศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล

อะไรคือความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ในมุมมองของคนอ่าน

ข้อแรก หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้ที่จำเป็นและน่าสนใจเกี่ยวกับประชากรในประเทศไทย
และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
ที่มีต่อสังคมและเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ที่เราไม่ค่อยจะได้นึกถึง
เช่น เราทราบกันดีว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศของเรา
เคยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน
โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2506-2526
ที่อัตราการเกิดของประชากรมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนทุกปี
(ที่ อ.ปราโมทย์เรียกว่าประชากรรุ่นเกิดล้าน)
ฝรั่งเรียกเหตุการณ์ลักษณะนี้ว่าเป็นยุค Baby Boomer (พ.ศ. 2489-2499)
ได้อ่านอย่างนี้เลยรู้ว่าเหตุการณ์อย่างนี้ในประเทศไทยเกิดหลังจากนั้น
เราๆ ท่านๆ จำนวนไม่น้อยก็อยู่ในข่ายประชากรรุ่นเกิดล้านนี้
ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนี้ส่งผลให้คนที่เป็นผลิตผลของยุค
ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ อัตราการแข่งขันเพื่อสอบเข้าเรียน
สอบเข้าทำงานสูงมากการใช้ทรัพยากรก็สูงขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน

ข้อสอง ได้ความรู้มาสนับสนุนการเลือกองค์ความรู้ให้กับนิทรรศการและกิจกรรม
ของศูนย์ความรู้กินได้ เกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ
เพราะปรากฏการณ์ที่คนอายุยืนขึ้น จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์
ที่ทำให้จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย
ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนาการบริการต่างๆ
ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้สูงวัยเหล่านี้ด้วย
มองดีๆ โอกาสของธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเติบโตขึ้นมารองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ แ
ละมุมมองของผู้ประกอบการนั่นแหละ

ข้อสาม ที่เล่าไปสองข้อข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่ยกมาพูดในที่นี้เท่านั้น
ประเด็นอื่นๆ เช่น ระเบิดประชากร 3 ลูกของประเทศไทยคืออะไร,
คนไทยจะตายมากขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า, คนไทยจะอายุยืนได้อีกกี่ปี,
ตายก่อนอายุ 80 ปี เรียกว่าเป็นการตายก่อนวัยอันสมควรหรือเปล่า
ไปจนถึงการเปรียบเทียบคนแก่ในไทยกับญี่ปุ่นว่าทำไมคนญี่ปุ่นอายุยืนกว่าคนไทย
คนแก่ญี่ปุ่นอยู่กันอย่างไร และอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
ขออนุญาติแนะนำให้คนอ่านไปหารายละเอียดเพิ่มเติมจากหนังสือกันเอาเอง

ทิ้งท้ายสำหรับคนที่เห็นหัวข้อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประชากรศาตร์ว่าจะอ่านยากไม่รู้เรื่อง
ขอแนะนำว่าภาษาที่ อ.ปราโมทย์ใช้เล่าเรื่องเป็นภาษาง่ายๆ
อ่านดูแล้วเหมือนกับฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องที่อยู่ใกล้ๆ ตัวให้ฟัง
มากกว่าจะเป็นบรรยายเนื้อหาหนักๆ ด้านประชากร
ที่สำคัญทำให้รู้สึกว่าความรู้เรื่องประชากรใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด

Labels:

Monday, July 24, 2006

ผ่านไปได้กี่เดือนแล้วนะที่กลับมาอยู่ที่บ้าน

เมื่อเช้าตื่นเช้าเป็นปกติเหมือนเคย อาบน้ำแต่งตัวแล้วออกไปที่ร้าน
ช่วงที่ผ่านมายุ่งมากๆ เหมือนว่าวันๆ นึงมีอะไรให้ทำอย่างหัวปั่นได้ทั้งวัน
งานหลายๆ อย่างเข้ามาให้เราจัดการในช่วงเดียวกัน สุดท้ายก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
ก็ปลงๆ ไป ไม่ได้วันนี้วันพรุ่งนี้ก็ทำใหม่


แปลกดี
เหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าเชียงใหม่ช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนเยอะแยะ
จริงๆ ก็คงจะมีคนจากจังหวัดอื่นมาเยอะเหมือนกันแต่มันดูไม่ออกน่ะ ผมเผ้าหน้าตามันก็เหมือนกันทั้งนั้นนี่นะ

นั่งอยู่ที่ร้านก็เห็นฝรั่งเดินไปเดินมากันขวักไขว่
แปลกใจเหมือนกันว่าอะไรถึงทำให้เมืองเชียงใหม่นี่มันมีนักท่องเที่ยวมาเยอะขนาดนี้เนี่ย
หรือจริงๆ แล้วคนทั่วโลกก็เหมือนๆ กันหมด คือต่างก็เดินทางท่องเที่ยว ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน หาความสุขเฉพาะหน้า
แต่ก็โหยหาอดีต และ back to nature and simplicity กันทั้งนั้น
อ่านในหนังสือพิมพ์เค้าเรียกอาการอย่างนี้ว่าเป็นปรากฏการณ์เหมือนกันทั่วโลกของคนยุคปัจจุบัน

เราก็เลยสงสัยว่าจริงๆ ความคิดที่ว่าคนเราไม่เหมือนกัน แตกต่างกันเพราะมาจากคนละที่ อยู่กันคนละแห่งเนี่ยตอนนี้จะยังใช้ได้อยู่รึเปล่า เพราะไปๆ มาๆ ก็ดูเหมือนว่าคนเราจะใช้ชีวิตได้เหมือนกันมากขึ้นๆ เรื่อย
คนที่อยู่ในเมืองก็มักจะมีวัฒนธรรมการกินอยู่ การใช้ชีวิตที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่
อะไรที่เคยคิดว่าหาซื้อได้แต่ที่ในเยอรมันก็มีวางขายในซุปเปอร์มาเก็ตที่เมืองไทยกันเยอะแยะ
(Haribo ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง)
ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน สุดท้ายเราก็มักจะติดเอาความเคยชินที่ทำมาแต่อ้อนแต่ออกไปกับเราด้วยทุกๆ ที่
ความต่างที่น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนสถานที่ก็เลยไม่ค่อยจะเห็นชัดไปซะ

แต่มันก็มีข้อยกเว้นนะ
คงขึ้นอยู่กับความแตกต่างของคนแต่ละคนที่จะยอมเข้าไปคลุกคลีกับวัฒนธรรม
หรือสภาพแวดล้อมใหม่ๆ มากแค่ไหนด้วยแหละ
อย่างถ้าเราเป็นคนที่ไม่เข็งมาก คือไปที่ไหนก็ให้เวลาสังเกตสังกาความเป็นอยู่ของผู้คน
สังเกตจังหวะของความแตกต่างของพื้นที่ใหม่ แล้วใช้ชีวิตให้สอดคล้องไปกับสภาพแวดล้อมที่เราเห็นอยู่
มากกว่าจะเอาอะไรที่เราเคยชินมาใช้ให้ได้เนี่ย เราก็คงจะมีโอกาสได้สัมผัสถึงความแตกต่างของที่ๆ เราจากมากับที่ๆ เราใช้เวลาอยู่ในช่วงนั้นๆ จริงๆ

แต่มันจะมีกี่คนที่ทำได้อย่างนั้นจริงๆ น่ะนะ น่าสงสัย

เพราะอย่างเราเอง บ่อยครั้งยังไม่สามารถทิ้งโลกส่วนตัวที่เรามเพื่อออกไปเปิดรับอะไรสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ได้อย่างที่ใจคิดเลย

แม้ว่าอะไรใหม่ๆ ที่ว่ามันจะหมายถึงแค่ความคิดของคนใกล้ชิดเราเองก็ตาม

Friday, May 26, 2006

ห่างหายไปนาน


แอบไปเพลินๆ ทำนู่นทำนี่บวกกับความขี้เกียจที่แก้ไม่หายทำให้ห่างหายไปจากการเขียนมานานพอดู
ตอนนี้กลับมาจากเมืองกรุงแล้วหลังจากหลงแสงสีไปหลายวัน
ก็คงได้มาเขียนบ่อยกว่าเดิม (อย่างน้อยก็น่าจะกว่าบ่อยกว่าเดือนละครั้งละ)

ช่วงนี้ที่เมืองไทยข่าวใหญ่ๆ ที่เราได้ยินเค้าเอามาเล่าในทุกๆ รายการก็วนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง
เรื่องที่ได้ฟังแล้วน่ายินดีสุดก็คงเป็นเรื่องงานฉลองครบรอบ 60 ปีการครองราชย์ของในหลวง
หลายๆ หน่วยงานก็จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติกันอย่างเต็มที่
ดูตั้งอกตั้งใจ และก็เป็นงานหนึ่งในที่ได้ยินแล้วอดทำให้รู้สึกชื่นใจ ดีใจ
แล้วก็ภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทยไม่ได้น่ะ

กิจกรรมหลายๆ อย่างเราก็อยากดู
อยากไปดูแห่เรือพระราชพิธี อยากไปดูการจุพลุสวยๆ
แต่ก็หวังว่ากิจกรรมบางอย่างก็คงร่วมด้วยได้ที่นี่เหมือนกัน

เค้าบอกว่าช่วงวันที่สิบกว่าโรงเรียน และมหาลัยก็จะปิดไปเลย
เพราะต้องจัดการจราจรและการรักษาความปลอดภัยให้กับแขกของรัฐบาล
ส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์ของประเทศต่างๆ ที่มาร่วมงานกันครั้งนี้แหละ

แต่เรื่องไม่ค่อยดีมักจะมีมากกว่าเรื่องดีๆ เพราะอะไรก็ไม่รู้
หรือเป็นเพราะคนไทยเป็นพวกชอบมองโลกในแง่ร้าย (ไปฟังสัมนามาเค้าก็บอกว่าเป็นอย่างนี้จริง)
ข่าวเศร้าๆ ก็เป็นเรื่องครูที่ถูกทำร้ายในภาคใต้ ฟังแล้วหดหู่ไปด้วยเลย น่าสงสารมากๆ เลยน่ะ
ตอนนี้อาการก็ยังคงโคม่าอยู่

อีกเรื่องก็เป็นเรื่องน้ำท่วมในเขตภาคเหนือตอนล่าง
หลายๆ จังหวัด อย่างแพร่ น่าน พะเยา อุตรดิตถ์ ก็โดนไปเต็มๆ น้ำป่าพัดมาจนบ้านหายไปเป็นหลังๆ
เหมือนจะมีคนตายเยอะด้วย ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนานเท่าไหร่
พยากรณ์อากาศบอกอีกว่าในช่วงสองสามวันนี้ภาคเหนือจะมีพายุเข้าอีก
มีโอกาศเสี่ยงของการเกิดดินถล่ม และน้ำท่วมด้วย

ไปๆ มาๆ เขียนคราวนี้เลยกลายเป็นอัพเดทสถานการณ์บ้านเมืองไปก็แล้วกัน
เอาแต่เรื่องทั่วๆ ไปนะ

เพราะเรื่องการเมืองเราไม่พูด!

Wednesday, April 19, 2006

Baking sessions

รู้รึเปล่า้กลิ่นของขนมที่อบเสร็จใหม่ๆ นี่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ
มันห้อมมมมมม ชื่นใจ ชื่นใจ :)

ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหมี เราหาวิธีใช้เวลาช่วงอยู่เฉยๆ
ด้วยการขอไปหัดเป็นลูกมือช่วยทำขนมที่เบเกอรี่ใกล้บ้าน
(เป็นเบเกอรี่แบบญี่ปุ่นน่ะ ขายขนมปังกับเพสตรี้เป็นส่วนใหญ่)
ทำไปก็ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นว่าจะต้องเอาวิชาไปเปิดร้านได้อะไรหรอก
แค่คิดว่าชอบ ไปฝึกทักษะ ทำเอาสนุก ได้ใช้มืิอหยิบๆ ปั้นๆอะไรให้พอไม่เบื่อ


แต่ถึงจะทำเพื่อความสนุก แต่เราก็พยายามตั้งใจนะ
ตื่นไปเริ่มงานแต่เช้า แล้วก็พยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด
(เกรงใจพี่เค้า ขนมเสียเพราะเราบ่อยๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกันใช่เปล่า)

ไม่รู้เหมือนกันจะได้ทำอีกนานเท่าไหร่
เมื่อวานมีโอกาสเลยรีบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ก่อน






Monday, April 17, 2006

สวนดอก














วันนี้ตอนเย็นๆ แดดร่มๆ ออกไปเดินเล่นกับแม่แถวๆ สวนดอก
ตรงแปลงสาธิตการเกษตรที่เค้าปลูกผักปลอดสารพิษเห็นต้นไม้นี้ออกดอกสวยดี
เลยถ่ายเก็บไว้ (ต้นอะไรก็ไม่รู้แฮะ)

ชอบจริงๆ ช่วงพายุเข้าปลายเดือนเมษาอย่างนี้
ค่อยหายร้อนหน่อย :)

Saturday, April 15, 2006

สงกรานต์เชียงใหม่















หลายปีแล้วที่ช่วงเทศกาลสงกรานตเป็นช่วงที่ครอบครัวเราพากันปิดร้่าน หยุดงาน แล้วออกไปเที่ยว

ปีนี้ก็เหมือนกัน เรามีวันหยุดห้าวัน (นานมากๆ) เลยตั้งใจว่าจะไปเที่ยวจังหวัดตาก ไปนอนอุทยานแห่งชาติแล้วขับรถเที่ยวกันแบบไปเรื่อยๆ

แต่สุดท้ายแผนที่วางไว้ก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย
อากาศร้อนทำให้เราป่วยกันง่ายมาก ที่บ้านเราพ่อกับแม่ก็มาป่วยเพราะอากาศเปลี่ยน
เราเลยได้ใช้เวลาช่วงหยุดที่ผ่านมาเที่ยวกันใกล้ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับในหลายๆ ที่


ตลอดห้าวัน เราตะลอนๆ เที่ยวต่างอำเภอ และไปจังหวัดใกล้ๆ อย่างลำปาง ลำพูน
ได้เล่นน้ำตรงคูเมืองเชียงใหม่เอาวันสุดท้าย (เล่นกับน้องสองคน คลาสสิกมากๆ)
ไม่ได้เล่นมานาน เล่นแป๊บๆ เอาพอเปียกๆ สนุกๆ ก็หยุด
ปีนี้เราว่าเค้าเล่นกันรุนแรงและัคึกคักน้อยกว่าปีก่อนๆ
แต่ก็ดีแล้ว เพราะเวลานั่งรถไปแล้วเห็นคนเมาๆ จนกล้าทำอะไรที่มันพิิสดารๆ
(อย่างเต้นแปลกๆ ทำท่าแปลกๆ หรือพูดจาแปลกๆ แบบลืมความกลัวตาย)
เราจะสงสัยเสมอว่ามันสนุกกันจนลืมตัวได้ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

วันที่สนุกมากๆ ของช่วงที่ผ่านมาเราว่าน่าจะเป็นวันที่ไปศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยที่ลำปาง
กับตอนไปไหว้พระธาตหริภูญไชยที่ลำพูน
เราว่าความสนุกมันเริ่มตั้งแต่ตอนนั่งรถไปแล้วเห็นวิวสองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวๆ ครึ้มๆ แล้วล่ะ














รูป :
- กาดหมั้ว ประตูท่าแพ วันที่ 13 เมษายน อันนี้มีทุกปีเลย
- ทางสายแม่ริม-สะเมิง ก่อนถึงสวนพฤกษศาสตร์
- ช้าง ช้า่ง ช้าง ที่สวนอนุรักษ์ช้างไทย ลำปาง





Tuesday, April 04, 2006

หนึ่งวัน

เชียงใหม่ช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปีทำให้เราทรมานได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ

การได้ใช้เวลาในหนึ่งวันที่ผ่านมาใช้ขาออกเดินไปนู่นไปนี่อย่างที่เราชอบทำเป็นปกติ
ทำให้ได้พบว่ากิจกรรมง่ายๆ อย่างนี้ไม่เหมาะกับเมืองไทย
(หรืออย่างน้อยก็ในตัวเมืองเชียงใหม่) เสมอไป

เราพบว่าเมืองที่ได้รับการโปรโมตว่าเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวอย่างล้นเหลือ
รุ่มรวยทางวัฒนธรรมและน้ำใจ ไม่มีการจัดสรรเรื่องง่ายๆ
แต่แสดงออกให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าบ้านอย่างการจัดทางเดินเท้าสบายๆ
ให้สำหรับคนเดินถนนเลย

แม้จะตื่นเช้าขนาดไหน แต่ความร้อน และความพลุกพล่านของการอยู่ในเมือง
ก็ทำให้บรรยากาศความตั้งใจที่จะทำความรู้จักกับเมืองที่เป็นบ้านของเรา
หลังจากหายไปนานเป็นไปอย่างทุลักทุเล และไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่

ความมักง่ายของคนทำให้เราเห็นการสร้างฟุตบาทที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เสร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ
หรือเสร็จเรียบร้อยแต่เป็นการเทปูนทับปิดรากของต้นไม้ที่อยู่ข้างทางและปล่อยให้มันตายไปอย่างง่ายๆ
เห็นแล้วสลดใจ ทำไมทำไปได้

เดินในเมืองถึงจะเป็นกิจกรรมแสนสนุกเพราะทำให้ได้เห็นรายละเอียดที่การสัญจรด้วยวิธีอื่นให้ไม่ได้
แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับการต้องคอยหลบรถในถนนเส้นเล็กๆ
เห็นทัศนียภาพที่ไม่เจริญตา เหม็นควันรถและได้ความเข้มของสีผิวเป็นของแถม :(

ได้คำตอบขึ้นมาอีกอย่างว่าเพราะอย่างนี้นี่เอง
ที่เราเห็นเดินตากแดดหัวแดงกันขวักไขว่นี่ถึงมีแต่พวกนักท่องเที่ยว

คนเมืองอย่างเราๆ หายไปไหนกันหมด
(เค้าหลบกันอยู่ในบ้าน หรือไม่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นอะไร
ที่จะต้องออกมาเดินชมเมืองท่ามกลางอุณหภูมิใกล้ละลายขนาดนี้น่ะสิ)



เขียนอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะมองอะไรก็เป็นเรื่องแย่ๆ ไปหมด
หลายๆ อย่างที่เราเห็นหลังจากการเดินภายในหนึ่งวันก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีๆ

โดยรวมๆ บ้านเรา (ก็หมายถึงทั้งเมืองแหละนะ) ดูแต่งตัวสวยขึ้น มีมุมเก๋ๆ มีร้านเก๋ๆ โผล่ขึ้นมาเยอะแยะ
ร้านขนมและกาแฟมีแทบทุกถนน
ถ้าเราเป็นคนจากที่อื่นมาเห็นเมืองเชียงใหม่อย่างนี้ก็ต้องหลงรักแน่นอน
(ขอร้องอย่างเดียวว่าอย่าให้มันดูกลมกลืนเหมือนกันไปซะหมดได้มั้ย ขอความแตกต่างบ้าง)
จะได้เที่ยวแบบเพลินๆ ไปได้เรื่อยๆ ทั้งวัน

รู้หรอกนะว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา และมักจะมีราคา
เลยทำให้ได้คำตอบว่า...
เพราะงั้นจริงๆ แล้วการอยู่ที่ไหนแต่พยายามมองที่นั่นด้วยสายตาของคนนอก
อย่างมองด้วยสายตาของนักท่องเที่ยว อาจจะเป็นทางออกที่ทำให้เราสนุกกับที่ที่เราอยู่ได้มากที่สุดก็ได้นะ
อย่างเวลาได้เห็นด้านดีๆ ก็จะมีความสุขมากๆ แต่ถ้าเห็นด้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็จะไม่คิดมาก
(แต่ถึงไม่ได้อยู่แต่ถ้ามีความผูกพันจนทำให้รู้สึกอยากมีส่วนทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้ขึ้นมาก็น่าจะดีใหญ่)