Wednesday, June 29, 2005

มาเริ่มกันเลยดีกว่า


อืม ...
นั่งคิดอยู่นานท่ามกลางเสียงระฆังที่ดังแบบนันสตอปจากโบสถ์ข้างบ้าน...
คิดไปตั้งนานว่าจะเขียนอะไรดีในพื้นที่ส่วนตัว (แต่ดูเหมือนจะมีเปอร์เซ็นของความเป็นสาธารณะสูงมาก) อย่างนี
รู้สึกแปลกๆ

ในที่สุด ด้วยความที่เป็นคนตัดสินใจเร็วๆ ง่าย ฉันก็ได้ข้อสรุปว่าเรื่องที่เขียนก็คงเป็นเรื่องที่คิดนี่แหละ
เป็นเรื่องเล่าประจำวันทั่วๆ ไป ตั้งใจว่ามันจะเป็นเหมือนบันทึกช่วงเวลาโค้งสุดท้ายก่อนจะจบการเรียนที่เมืองเบียร์แห่งนี้ ทั้งนี้เพราะรู้ตัวถ้าจะไปจำกัดให้เรื่องในบลอกนี้มีคอนเซปชัดเจนลงไป
ก็กลัวว่าสุดท้ายจะถอดใจไม่ยอมเขียน (เหมือนที่เพื่อนเคยบอก)ไปซะก่อน ฮ่าๆ

เอาเป็นว่าเริ่มเล่าเรื่องง่ายๆ เกี่ยวกับอะไรที่ฉันทำอยู่ก็น่าจะดี
อย่างเช่นเรื่องของวันนั้น

..............................................................................................................................
ในเช้าวันเสาร์ที่เราเรียกกันว่าวันหยุด
ฉันตื่นแต่เช้าเพื่อมาส่งเพื่อนสาวชาวโสมสองคนที่อยู่ด้วยกัน
ที่กำลังจะออกไปร่วมงานแต่งงานของคู่หนุ่มสาวชาวกิมจิร่วมมหาลัยในวันนี้ งานจะมีในโบสถ์ที่เมืองของมหาลัยที่เราเรียน นั่นหมายความว่าสองสาวเพื่อนของฉันต้องเตรียมตัวออกจากบ้านล่วงหน้าซักสองชั่วโมง
เพื่อจะได้ไปให้ทันงานแสนหวานนั้นให้ได้

เฮ้อ เป็นความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เห็นไม่บ่อยจริงๆ ในเมืองเล็กๆ อย่างนั้น ฉันมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับเพื่อนคู่นั้นในช่วงสั้นๆ มาตั้งแต่ปีก่อน เห็นแล้วได้แต่คิดว่านี่เป็นบุพเพสันนิวาสข้ามแดนจริงๆ

เสร็จจากการตื่นมาส่งเพื่อน และเดินออกไปสูดอากาศอุ่นๆใกล้ๆ บ้าย ฉันรีบพาตัวเองมานั่งหน้าคอมเพื่อจะรีบตั้งหน้าตั้งตาเริ่มเขียนโครงร่างทีสิส
เพื่อที่จะเอาไปเสนออาจารย์อาทิตย์หน้าให้เสร็จ
แต่....ผ่านไปสองชั่วโมงกับการเปิดเวบ ทำนู่นทำนี่ ที่ล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวกับการเรียนเลย

ด้วยความรู้สึกผิด และโทษดินฟ้าอากาศที่ดีเกินไป ฉันก็รีบแต่งตัว หยิบกระเป๋า แล้วกระโดดไปขึ้นรถ S-Bahn หน้าบ้าน หาข้ออ้างให้ตัวเองอย่างง่ายๆ ว่าอากาศดีขนาดนี้จะทนนั่งทำงานในบ้านอยู่ได้อย่างไร

ลัลล้า..ลัลล้า... เวลาผ่านไปไม่เท่าไหร่ ฉันก็ได้มาเดินเล่นแถวๆ ถนนโอราเนียนบวร์ก (Oranienburger Str.) ซึ่งเป็นย่านหนึ่งในเมืองหมีแห่งนี่ที่เริ่มบูมมากๆ ในช่วงไม่กี่ปีก่อน มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเฟอร์นิเจอร์ปะปนอยู่กับตึกเก่าๆ ที่ยังหลงเหลือมาจากช่วงที่เยอรมันถูกแบ่งประเทศเยอะแยะมากมาย ร้านอาหารแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย ตะวันออกกลาง สิงคโปร หรือแม้แต่อาหารไทยที่ตกแต่งเก๋ๆ (วงเล็บว่าตามสไตล์เยอรมัน) หลายๆ ร้านก็มีให้เห็นได้ทั่วไปที่นี่

จะว่าไปแล้วย่านเล็กๆ ที่เพิ่งจะฟื้นตัว แล้วก็แข่งกันบูม แข่งกันมีชีวิตชีวาอย่างนี้มีให้เห็นทั่วไปในเบอร์ลิน เหตุผลหนึ่งที่เป็นอย่างนี้นอกจากการเติบโตเปลี่ยนแปลงของย่านต่างๆ ที่ผลัดกันมาอยู่ในกระแสของคนเมือง ซึ่งเป็นเหมือนกันทุกที่ในโลกแล้ว ฉันคิดว่าประวัติศาสตร์ของเบอร์ลินที่ไม่มีใครเหมือน
ผลของการถูกแบ่งประเทศและแยกกันปกครองระหว่างประเทศมหาอำนาจ
ที่เป็นฝ่ายชนะสงครามก็ส่งผลทำให้เบอร์ลินเป็นเมืองที่มีบุคลิกเฉพาะอยู่ไม่น้อยทีเดียว

บรรยากาศของเบอร์ลินที่ฉันได้สัมผัสทำให้พอจะนึกภาพออกได้เลาๆ ถึงความเศร้า และความหดหู่
รวมทั้งความแตกต่างระหว่างโซนตะวันตกกับตะวันออกที่แตกต่างกัน

เบอร์ลินในสายตาของฉันจึงเป็นเมืองที่ไม่เก่า แต่ก็ไม่ใหม่
ในขณะที่หลายๆ ย่านมีตึกเก่าๆ แต่ถัดออกไปไม่เท่าไหร่เราก็จะเห็นตึกใหม่ๆ สถาปัตยกรรมแบบเยอรมันจ๋า เกิดขึ้นอยู่ใกล้ๆ กลายเป็นความแตกต่างอย่างสุดขั้ว แต่แปลกที่ว่าความแตกต่างอย่างนั้นมันดูกลืนๆ ไม่ขัดสายตาเท่าไหร่
เป็นเพราะอะไร
ฉันคิดว่าพอจะรู้คำตอบแต่เอาไว้ค่อยมาเขียนให้ละเอียดในคราวหน้าดีกว่า

ก็เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดนี่จ๊ะ