Saturday, August 06, 2005

I need a break!

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันกับเพื่อนหนีความเหงาในเบอร์ลินไปเปลี่ยนบรรยากาศที่อัมสเตอร์ดัม
จะเรียกว่าเป็นการพักร้อน(ที่แสนสั้น) การแก้เซ็ง หาเรื่องใช้ตังค์ หรือเหตุผลอื่นใดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น แต่อย่างน้อยการได้หยุดจากงานที่ทำอยู่ทุกๆ วันไปเปิดหูเปิดตาเห็นอะไรใหม่ๆ ก็เป็นการเติมพลัง และต่อกำลังใจให้พวกเราได้ไม่น้อย

คืนวันศุกร์ตอนเที่ยงคืนเราเก็บกระเป๋าไปขึ้นรถไฟ ทั้งสี่สาวที่เดินทางด้วยกันครั้งนี้มาจากประเทศในเอเชียทั้งนั้น สี่คนสี่ภาษา แต่สำหรับฉันแล้วเรื่องภาษาที่ดูเผินๆ เหมือนจะยุ่งเหยิงและสร้างความปวดหัวให้นี้จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเราเลย จะว่าไปสิ่งสำคัญของการเรียนรู้ ละอยู่ร่วมกับคนต่างชาติเรื่องของทัศนะคติสำคัญกว่าอุปสรรคทางด้านการสื่อสารเป็นไหนๆ

หลังจากนั่งหลับๆ ตื่นๆ เปลี่ยนรถไฟไปสี่ครั้งตอนสายๆ เราก็มาถึงอัมสเตอร์ดัมโดยสวัสดิภาพ เดินหาโฮสเทลที่ขอให้คนท้องถิ่นจองให้ไม่นานเราก็พาตัวเองเข้ามาอยู่บนชั้นสามของบ้านเก่าๆ เล็ก ที่ถูกดัดแปลงมาเป็นที่พักของแบกแพคเกอร์ทั้งหลายเรียบร้อย
เราได้ห้องเล็กๆหนึ่งห้องที่มีเตียงเก่าๆอย่างที่เห็นในโฮสเทลทั่วไปสามเตียงพร้อมฟูกที่แถมมาให้หนึ่งหลัง
แลกกับเงินที่ต้องจ่ายไปคนละ 28 ยูโรต่อคืน
(ซึ่งนับว่าค่อนข้างแพงเพราะขนาดของห้องที่เล็กมาก
จนทำให้ยังไงเราก็ไม่สามารถเอาฟูกอีกหลังมากางตรงไหนได้อยู่ดี เราเลยต้องเอาเตียงมาต่อกันแล้วนอนเหมือนสมัยอยู่โรงเรียน)
ห้องน้ำ และห้องอาบน้ำใช้รวมกันกับคนอื่นๆ แต่มีอาหารเช้าแบบง่ายๆกับกาแฟให้

มองเผินๆ เยอรมันกับเนเธอร์แลนด์ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่
แต่ถ้ามีเวลาสักนิด ใช้ความสังเกตสักหน่อยเราจะพบว่ารายละเอียดปลีกย่อย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรม ที่อยู่อาศัย การกินอยู่ บุคลิกของคน มีข้อแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
ดูง่ายๆ จากบ้านที่คนเค้าอยู่กันก็ได้
คนเยอรมันเคยชินกับอะไรใหญ่ๆ ตึกใหญ่ๆ สเปซกว้างๆ
แต่คนดัทช์อยู่ในบ้านเล็ก ถนนก็เล็ก ตรอกซอกซอยต่างๆ ก็เล็กตามไปด้วย นอกจากนี้อีกอย่างที่ฉันรู้สึกก็คือค่าครองชีพที่อัมสเตอร์ดัมสูงกว่าที่เบอร์ลินอย่างน่าแปลกใจ
ทั้งที่จะว่าไปแล้วเศรษฐกิจของเยอรมันน่าจะแข็งแรงกว่า

เรื่องนี้ฉันคุยกับเพื่อน เราได้ข้อสรุปว่าในกรณีนี้เรื่องพื้นฐานทางเศรษฐกิจไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่กำหนดระดับค่าครองชีพ เหตุผลน่าจะเป็นเพราะอัมสเตอร์ดัมมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวสูงกว่าเมืองหมีที่ฉันอยู่มากกว่า ดูง่ายๆมองไปทางไหนที่นี่ก็มีแต่นักท่องเที่ยว
(แถมที่พิเศษกว่านั้นคือที่นี่เวลาเดินไปเราจะได้กลิ่น weeds โชยมาเป็นระยะๆ เอกลักษณ์แบบนี้คงหาไม่ได้ในเยอรมันเป็นแน่)
กิจการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหาร การเดินทาง
หรือแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยวอย่างพิพิธภัณฑ์
ซึ่งเป็นที่ดึงดูดของนักท่องเที่ยว และนักศึกษาอย่างเราๆ ก็เลยมีราคาสูงชะมัด

ฉันได้ประสบการณ์การเข้าพิพิธภัณฑ์ที่ราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยไปมา
ก็ที่พิพิธภัณฑ์ van Gogh ในอัมสเตอร์ดัมนี่แหละ (13.50 Euro)
แถมที่นี่ไม่มีราคาสำหรับนักเรียนด้วย บัตรเบ่งที่เราเตรียมกันมาเลยเป็นหมันไป ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกันที่ฉันคิดว่าแพงแล้วเลยกลายเป็นถูกไปเลยเมื่อเทียบกัน

ยังไงก็เถอะ ถ้าไม่นับเรื่องค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ที่ออกจะแพงกว่าที่เราคิดเอาไว้แล้วการมาเที่ยวอัมสเตอร์ดัมครั้งนี้ของฉันกับเพื่อนๆ ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานมาก ตามประสาเด็กที่เรียนเหมือนๆ กันอย่างเรา การได้มาเห็นพิพิธภัณฑ์หลายๆ ประเภทเริ่มตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ไฮเนเก้น
ตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ได้ดื่มเบียร์ยี่ห้อนี้ในถิ่นกำเนิด
แถมหาไม่ค่อยได้ในเยอรมันทำให้พวกเราสนุกจนหน้าแดงกันเป็นแถบๆ
ได้ไป Rijsk Museum (Royal Museum) กับ van Gogh Museum ในวันที่สอง
และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของอัมสเตอร์ดัมในวันที่สาม
ได้ไปเดินตลาดที่เก่าแก่เป็นร้อยปีของคนที่นี่
เดินเล่นตามตรอกและย่านเก่าๆ ที่บรรยากาศดีสุดๆ
แถมได้มากับเพื่อนๆ ที่ไปไหนไปกันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าโชคดีจังที่มีโอกาสได้มาเที่ยวอย่างนี้

หวังว่าโอกาสอย่างนี้คงมาถึงอีกในเร็ววัน