Tuesday, July 26, 2005

ว่าด้วยเรื่องเรียนๆ


หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยขั้นต่อไปของชีวิตเราควรเป็นอย่างไร ?

หลายคนพอได้ยินคำถามอย่างนี้คงคิดว่านี่เป็นคำถามที่สุดแสนจะอ่อนต่อโลก และแสดงความคิดน้อยน้อยของคนถามเสียนี่กระไร บอกตามตรง ฉันเองก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าความคิดอย่างนั้นมันผ่านไปนานแล้ว

ตอนนั้น (เมื่อซักสามปีก่อน) ช่วงก่อนเรียนจบใหม่ๆ ในขณะที่เพื่อนหลายๆ คนพยายามขวนขวานที่จะสมัครเรียนต่อ ฉันเองพยายามสวนกระแสด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากทำตามขั้นตอนที่เด็กรุ่นเราๆ เป็นกัน นั่นคือเรียนจบมัธยมปลาย สอบเข้ามหาวิทยาลัย เรียนไปสี่ปี เรียนจบก็รีบขวนขวานไปหาที่เรียนต่อ ที่ไหนก็ได้ เรียนไปก่อน เรียนเพราะชอบจริงๆ หรือเรียนเพราะเห็นว่าคนอื่นเค้าก็เรียนกันไม่งั้นจะตกยุคก็ไม่เป็นไร ฉันเลยรีบทำงานทันทีหลังเรียนจบ แต่...ทำไปได้ซักสี่ห้าเดือนก็เริ่มรู้สึกไม่สนุก คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ของการเรียนแล้วอยากกลับไปเป็นเด็กนักเรียนอีก คิดได้อย่างนั้นก็เลยสมัครเรียนต่อ ประกอบกับมีเพื่อนๆ คอยยุ(แกมให้กำลังใจ) ว่าการตัดสินใจไปเรียนต่อ คณะนี้ เมืองนี้ ประเทศนี้ ในเวลานี้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ฉันเองก็เป็นคนประเภทตัดสินใจเร็ว คิดได้อย่างนั้นก็รีบดำเนินการทันที มาถึงตอนนี้ฉันก็มาโผล่ที่ประเทศแห่งไส้กรอกและเบียร์นี้ได้จะเป็นปีที่สองแล้วสินะ

ที่ที่ฉันเรียนอยู่ตอนนี้ เป็นคอร์สเล็กๆ เกี่ยวกับมรดกโลกศึกษา ของมหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่อยู่ในเมืองเกือบจะตะวันออกสุดของเยอรมนี เมืองที่ว่านี้ไม่มีอะไรเลย
นอกจากตึกเก่าๆ และความเงียบเหงา
ฉันใช้เวลาเรียนคอร์สเวิร์คทั้งหมดอย่างรวดเร็วเป็นเวลาหนึ่งปี
อีกปีที่เหลือย้ายมาอยู่เบอร์ลิน
เพราะคิดว่าถ้าต้องทนอยู่ในเมืองเล็กๆ นั้นต่อไปปัญหาหลายๆ อย่างที่เจอมา โดยเฉพาะกับปัญหาเรื่องการเรียน
คงทำให้ประสบการณ์สองปีที่มาเรียนอยู่ที่นี่
กลายเป็นประสบการณ์ที่ไม่อยากจะหันกลับไปมองอีกในอนาคตเป็นแน่

บอกไปคงไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ตัวฉันเองก็ยังพยายามทำเป็นลืมๆ อยู่บ่อยๆ ว่าความผิดหวังของการเลือกมาเรียนต่อที่นี่มันมีมากแค่ไหน
คิดในใจว่าจริงๆ แล้วจะเรียนที่ไหน เรียนจบมายังไงก็ไม่สำคัญ ขอให้สามารถเอาความรู้ที่ได้มาทำงานที่รับผิดชอบ จัดการกับชีวิตตัวเอง และเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้างได้ก็น่าจะพอแล้ว ถ้าสิ่งที่ได้มันนอกเหนือจากนี้ก็ถือเป็นกำไรให้กับชีวิตไปก็แล้วกัน

ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนปริญญาโท ถ้าขยัน และแข็งใจทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จได้ในเร็ววัน โอกาสเรียนจบให้ทันภายในปีนี้ก็ยังมีสูงอยู่ แต่ถ้าไม่ขยันหรือหมดแรงไปซะก่อนก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้น ช่วงนี้เลยเรียนได้ว่าเป็นการวัดใจตัวเองแทบจะทุกวันที่ตื่นมาตอนเช้า และก่อนจะนอนในตอนกลางคืน

เอาไว้คราวหน้า (หลังจากกลับจากการหนีเที่ยว) จะมาเล่าให้ฟังว่าวิชาที่ฉันฝึกคิด และหาประสบการณ์อยู่เนี่ย มันมีส่วนทำให้ชีวิตของคนเราสมบูรณ์และมีความหมายขึ้นยังไง



Friday, July 01, 2005

เที่ยวสวนหน้าร้อน

สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบและอยากให้ติดเป็นนิสัยสำหรับทุกๆ วันตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้งหลังจากหายไปอยู่บ้านซะหลายเดือนก็คือการตื่นแต่เช้า ยิ่งในช่วงฤดูร้อนอย่างนี้พระอาทิตย์ขึ้นเร็วตั้งแต่ตีสามตีสี่ ตื่นได้เร็วเท่าไหร่ เวลาที่จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แสนจะสดชื่นตอนเช้าๆ ก็ยิ่งนานเท่านั้น คนอ่านเห็นด้วยมั้ยคะ

เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาความขี้เกียจมาครอบงำสมาธิอันแสนสั้นของฉันในการตั้งใจเตรียมตัวทำการค้นคว้าเรื่องพิพิธภัณฑ์ที่กำลังทำอยู่ ฉันกับเพื่อนเลยชวนกันออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆ บ้าน สวนนี้มีชื่อว่า Tiergarten (แปลตรงตัวก็คือ Animal Garden นั่นแหละ) แต่ถึงแม้จะมีชื่ออย่างนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าสวนนี้จะเป็นที่เลี้ยงสัตว์ หรือจับสัตว์มาขังในกรงอย่างที่เข้าใจหรอกนะจ๊ะ ที่มาของชื่อนี้น่าจะมาจากความร่มรื่นและกว้างใหญ่ของสวน ซึ่งทำให้มีสัตว์น้อยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นก หนู แมลง เป็ด กระต่ายตลอดจนสัตว์แปลกๆ อื่นๆ เข้ามาอยู่อาศัยเสมือนว่าเป็นโอเอสิสกลางกรุงมากกว่า มนุษย์อย่างเราๆ (ซึ่งจริงๆ ก็คือสัตว์ประเภทหนึ่งเหมือนกัน) ก็เลยพลอยได้อานิสงค์ อิ่มตาอิ่มใจกับธรรมชาติในสวนที่อยู่ใกล้แค่เดินไม่กี่นาทีถึงนี้ไปด้วย

อ่านจากประวัติของสวนที่ทำติดไว้ให้คนได้มาอ่านกันเลยได้รู้ว่าสวนนี้มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบหกโน่นแน่ะ โดยเป็นดำริของกษัตริย์เฟรดเดอริกของเบอร์ลินที่ต้องการให้คนเบอร์ลินได้มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใครจะเข้ามาใช้ประโยชน์ในสวนนี้ก็ได้ ไม่มีข้อจำกัด อ่านแล้วเลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่าในขณะที่ประเทศของเราในเวลานั้นยังเพิ่งจะเริ่มมีบทบาทเล็กๆ ในเวทีระหว่างประเทศได้ไม่นาน แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกความสำคัญของการมีสวนสาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจของพลเมืองเป็นเรื่องที่ได้รับการให้ความสำคัญมาตั้งนานแล้ว

จนถึงทุกวันนี้ความดีของ Tiergarten ก็ยังสืบทอด และเป็นขวัญใจของคนเมืองหมีอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ท่ามกลางที่ดินรอบๆ ที่ขึ้นราคา อาคารสำนักงาน ศูนย์กลางค้า และธุรกิจที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด Tiergarten ก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะถูกรุกล้ำ หรือแบ่งพื้นที่ไปทำเป็นที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวเหมือนเมืองหลวงของบางประเทศสักที ทุกวันนี้เราเลยยังมีโอกาสได้เห็นคู่รักมานอนจีบกัน สาวๆ หนุ่ม มาตั้งวงปิกนิก คุณลุงคุณป้าแก่ๆ จูงมือกันมาเดินเล่มชมต้นใบหญ้า และในบางวันที่แดดดีก็ยังมีภาพคนนอนอาบแดดอย่างเปิดเผยและจริงใจให้ได้เห็นอยู่ทั่วไป

เฮ้อ ฉันอดใจไม่รักหน้าร้อนในเมืองหมีนี่ไม่ได้ก็เพราะอย่างนี้แหละ