Wednesday, April 19, 2006

Baking sessions

รู้รึเปล่า้กลิ่นของขนมที่อบเสร็จใหม่ๆ นี่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ
มันห้อมมมมมม ชื่นใจ ชื่นใจ :)

ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหมี เราหาวิธีใช้เวลาช่วงอยู่เฉยๆ
ด้วยการขอไปหัดเป็นลูกมือช่วยทำขนมที่เบเกอรี่ใกล้บ้าน
(เป็นเบเกอรี่แบบญี่ปุ่นน่ะ ขายขนมปังกับเพสตรี้เป็นส่วนใหญ่)
ทำไปก็ไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นว่าจะต้องเอาวิชาไปเปิดร้านได้อะไรหรอก
แค่คิดว่าชอบ ไปฝึกทักษะ ทำเอาสนุก ได้ใช้มืิอหยิบๆ ปั้นๆอะไรให้พอไม่เบื่อ


แต่ถึงจะทำเพื่อความสนุก แต่เราก็พยายามตั้งใจนะ
ตื่นไปเริ่มงานแต่เช้า แล้วก็พยายามทำให้ผิดน้อยที่สุด
(เกรงใจพี่เค้า ขนมเสียเพราะเราบ่อยๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกันใช่เปล่า)

ไม่รู้เหมือนกันจะได้ทำอีกนานเท่าไหร่
เมื่อวานมีโอกาสเลยรีบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ก่อน






Monday, April 17, 2006

สวนดอก














วันนี้ตอนเย็นๆ แดดร่มๆ ออกไปเดินเล่นกับแม่แถวๆ สวนดอก
ตรงแปลงสาธิตการเกษตรที่เค้าปลูกผักปลอดสารพิษเห็นต้นไม้นี้ออกดอกสวยดี
เลยถ่ายเก็บไว้ (ต้นอะไรก็ไม่รู้แฮะ)

ชอบจริงๆ ช่วงพายุเข้าปลายเดือนเมษาอย่างนี้
ค่อยหายร้อนหน่อย :)

Saturday, April 15, 2006

สงกรานต์เชียงใหม่















หลายปีแล้วที่ช่วงเทศกาลสงกรานตเป็นช่วงที่ครอบครัวเราพากันปิดร้่าน หยุดงาน แล้วออกไปเที่ยว

ปีนี้ก็เหมือนกัน เรามีวันหยุดห้าวัน (นานมากๆ) เลยตั้งใจว่าจะไปเที่ยวจังหวัดตาก ไปนอนอุทยานแห่งชาติแล้วขับรถเที่ยวกันแบบไปเรื่อยๆ

แต่สุดท้ายแผนที่วางไว้ก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย
อากาศร้อนทำให้เราป่วยกันง่ายมาก ที่บ้านเราพ่อกับแม่ก็มาป่วยเพราะอากาศเปลี่ยน
เราเลยได้ใช้เวลาช่วงหยุดที่ผ่านมาเที่ยวกันใกล้ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับในหลายๆ ที่


ตลอดห้าวัน เราตะลอนๆ เที่ยวต่างอำเภอ และไปจังหวัดใกล้ๆ อย่างลำปาง ลำพูน
ได้เล่นน้ำตรงคูเมืองเชียงใหม่เอาวันสุดท้าย (เล่นกับน้องสองคน คลาสสิกมากๆ)
ไม่ได้เล่นมานาน เล่นแป๊บๆ เอาพอเปียกๆ สนุกๆ ก็หยุด
ปีนี้เราว่าเค้าเล่นกันรุนแรงและัคึกคักน้อยกว่าปีก่อนๆ
แต่ก็ดีแล้ว เพราะเวลานั่งรถไปแล้วเห็นคนเมาๆ จนกล้าทำอะไรที่มันพิิสดารๆ
(อย่างเต้นแปลกๆ ทำท่าแปลกๆ หรือพูดจาแปลกๆ แบบลืมความกลัวตาย)
เราจะสงสัยเสมอว่ามันสนุกกันจนลืมตัวได้ขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย

วันที่สนุกมากๆ ของช่วงที่ผ่านมาเราว่าน่าจะเป็นวันที่ไปศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยที่ลำปาง
กับตอนไปไหว้พระธาตหริภูญไชยที่ลำพูน
เราว่าความสนุกมันเริ่มตั้งแต่ตอนนั่งรถไปแล้วเห็นวิวสองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวๆ ครึ้มๆ แล้วล่ะ














รูป :
- กาดหมั้ว ประตูท่าแพ วันที่ 13 เมษายน อันนี้มีทุกปีเลย
- ทางสายแม่ริม-สะเมิง ก่อนถึงสวนพฤกษศาสตร์
- ช้าง ช้า่ง ช้าง ที่สวนอนุรักษ์ช้างไทย ลำปาง





Tuesday, April 04, 2006

หนึ่งวัน

เชียงใหม่ช่วงเดือนที่ร้อนที่สุดของปีทำให้เราทรมานได้อย่างเหลือเชื่อจริงๆ

การได้ใช้เวลาในหนึ่งวันที่ผ่านมาใช้ขาออกเดินไปนู่นไปนี่อย่างที่เราชอบทำเป็นปกติ
ทำให้ได้พบว่ากิจกรรมง่ายๆ อย่างนี้ไม่เหมาะกับเมืองไทย
(หรืออย่างน้อยก็ในตัวเมืองเชียงใหม่) เสมอไป

เราพบว่าเมืองที่ได้รับการโปรโมตว่าเป็นมิตรต่อนักท่องเที่ยวอย่างล้นเหลือ
รุ่มรวยทางวัฒนธรรมและน้ำใจ ไม่มีการจัดสรรเรื่องง่ายๆ
แต่แสดงออกให้เห็นถึงความใส่ใจของเจ้าบ้านอย่างการจัดทางเดินเท้าสบายๆ
ให้สำหรับคนเดินถนนเลย

แม้จะตื่นเช้าขนาดไหน แต่ความร้อน และความพลุกพล่านของการอยู่ในเมือง
ก็ทำให้บรรยากาศความตั้งใจที่จะทำความรู้จักกับเมืองที่เป็นบ้านของเรา
หลังจากหายไปนานเป็นไปอย่างทุลักทุเล และไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่

ความมักง่ายของคนทำให้เราเห็นการสร้างฟุตบาทที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เสร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ
หรือเสร็จเรียบร้อยแต่เป็นการเทปูนทับปิดรากของต้นไม้ที่อยู่ข้างทางและปล่อยให้มันตายไปอย่างง่ายๆ
เห็นแล้วสลดใจ ทำไมทำไปได้

เดินในเมืองถึงจะเป็นกิจกรรมแสนสนุกเพราะทำให้ได้เห็นรายละเอียดที่การสัญจรด้วยวิธีอื่นให้ไม่ได้
แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับการต้องคอยหลบรถในถนนเส้นเล็กๆ
เห็นทัศนียภาพที่ไม่เจริญตา เหม็นควันรถและได้ความเข้มของสีผิวเป็นของแถม :(

ได้คำตอบขึ้นมาอีกอย่างว่าเพราะอย่างนี้นี่เอง
ที่เราเห็นเดินตากแดดหัวแดงกันขวักไขว่นี่ถึงมีแต่พวกนักท่องเที่ยว

คนเมืองอย่างเราๆ หายไปไหนกันหมด
(เค้าหลบกันอยู่ในบ้าน หรือไม่ก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นอะไร
ที่จะต้องออกมาเดินชมเมืองท่ามกลางอุณหภูมิใกล้ละลายขนาดนี้น่ะสิ)



เขียนอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะมองอะไรก็เป็นเรื่องแย่ๆ ไปหมด
หลายๆ อย่างที่เราเห็นหลังจากการเดินภายในหนึ่งวันก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีๆ

โดยรวมๆ บ้านเรา (ก็หมายถึงทั้งเมืองแหละนะ) ดูแต่งตัวสวยขึ้น มีมุมเก๋ๆ มีร้านเก๋ๆ โผล่ขึ้นมาเยอะแยะ
ร้านขนมและกาแฟมีแทบทุกถนน
ถ้าเราเป็นคนจากที่อื่นมาเห็นเมืองเชียงใหม่อย่างนี้ก็ต้องหลงรักแน่นอน
(ขอร้องอย่างเดียวว่าอย่าให้มันดูกลมกลืนเหมือนกันไปซะหมดได้มั้ย ขอความแตกต่างบ้าง)
จะได้เที่ยวแบบเพลินๆ ไปได้เรื่อยๆ ทั้งวัน

รู้หรอกนะว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา และมักจะมีราคา
เลยทำให้ได้คำตอบว่า...
เพราะงั้นจริงๆ แล้วการอยู่ที่ไหนแต่พยายามมองที่นั่นด้วยสายตาของคนนอก
อย่างมองด้วยสายตาของนักท่องเที่ยว อาจจะเป็นทางออกที่ทำให้เราสนุกกับที่ที่เราอยู่ได้มากที่สุดก็ได้นะ
อย่างเวลาได้เห็นด้านดีๆ ก็จะมีความสุขมากๆ แต่ถ้าเห็นด้านที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็จะไม่คิดมาก
(แต่ถึงไม่ได้อยู่แต่ถ้ามีความผูกพันจนทำให้รู้สึกอยากมีส่วนทำให้อะไรๆ ดีขึ้นได้ขึ้นมาก็น่าจะดีใหญ่)

Saturday, April 01, 2006

chiangmai...finally












(บลอกนี้เขียนถึงแต่สิ่งที่จับต้องไม่ได้)

กลับมาถึงเชียงใหม่ได้สามวัน...

เป็นสามวันที่เวลาผ่านไปเร็วมากๆ ทั้้งที่วันแต่ละวันมันแสนยาว
ยังสับสนนิดหน่อยระหว่างเวลาเมืองหมีกับเวลาเมืองช้าง
ทำเอานอนไม่ค่อยหลับไปหลายคืน


ก่อนกลับอากาศที่เบอร์ลินดีขึ้นผิดหูผิดตา
แดดใสๆ อากาศอุ่นๆ ทำเอาคนที่ไม่ค่อยอยากจะกลับอยู่แล้วทำใจยากขึ้นไปอีก
แต่ก็นะ ถึงเวลาก็ต้องไปต่อ
ก่อนไปเลยไปเดินส่งท้ายให้ทั่วเมือง ตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสิบโมงเย็นเลย
สนุกมาก (ขอบคุณไกด์ และผู้สนับสนุนการเดินทางที่ทำให้ได้ไปเห็นอะไรดีๆ)

เมืองไทยช่วงนี้จะว่าไปไม่ค่อยน่าอยู่ ต้องใช้ความพยายามมองหาด้านสวยๆ กันมากหน่อย
บรรยากาศทางการเมือง (หลายคนบอกว่าน่าสนุก) แต่เราว่ามันออกจะซ้ำซากและน่าเบื่อ
ทำให้การมองออกไปรอบๆ ตัวหรือหยิบยกอะไรมาคุยกันกลายเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง
หันไปทางไหนรู้สึกได้แต่ความมากเกินไปของหลายๆ อย่าง ไม่ค่อยลงตัว (หรือเราหามันไม่เจอเอง)

เชียงใหม่ก็เปลี่ยนไป
มีอะไรให้ดูเยอะแยะ ยังคงน่าอยู่กว่ากรุงเทพ แต่แปลกที่เรากลับหาอะไรที่อยากทำไม่เจอ

วันนี้เลยไปหาที่หลบภัยที่ร้านหนังสือ แต่ก็อีกนั่นแหละ หนังสือใหม่ๆ เยอะเกิน ตามอ่านไม่ทัน
(เป็นความผิดของใครล่ะเนี่ย)
สุดท้ายเลยไม่มีอะไรติดมือมาซักเล่ม รอไปซักพัก ตั้งหลักดีๆ แล้วค่อยไปใหม่


เรื่องดีๆ ของวันนี้คงอยู่ที่การได้ตื่นเช้า
ผลของการนอนไม่หลับทำให้ได้เห็นพระอาทิตย์ในช่วงที่สวยๆ ของวัน
อากาศเย็นๆ ค่อยทำให้รู้สึกว่าอย่างนี้สิถึงจะเป็นเชียงใหม่ที่คิดถึง :)

ตื่นเช้า รีบอาบน้ำแล้วออกไปเดินตลาด
หาของอร่อยๆ กินตามร้านข้างทาง
เห็นอะไรที่สดชื่นๆ พูดคำเมือง เดินๆๆๆๆๆ
:) ทำอย่างนี้แล้วค่อยรู้สึกกระชุ่มกระชวย มีแรง


ก่อนจบมีของฝาก :D